โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease.IHD)
1. โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร โรคหัวใจขาดเลือด ( Ischemic Heart Disease) เป็นโรคที่อาจกล่าวได้ว่าพบบ่อยในประเทศไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการตายอันดับต้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว
หัวใจทำหน้าที่เหมือนเครื่องปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะและระบบต่างๆทั่วร่างกาย หัวใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ต้องการเลือดไปเลี้ยงเช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่นๆ หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ภาษาหมอเรียกว่า หลอดเลือดหัวใจ หรือ หลอดเลือดโคโรนารี (coronary artery) ซึ่งมีอยู่หลายแขนง แต่ละแขนงจะแยกกันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจส่วนต่างๆ
แต่ถ้าหลอดเลือดหัวใจแขนงใดแขนงหนึ่งมีการตีบตัน ก็จะก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเจ็บจุกหน้าอกและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เราเรียกว่า โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease เรียกชื่อย่อว่า IHD) บ้างก็เรียกว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรืออุดกั้น บ้างก็เรียกว่า โรคหัวใจโคโรนารี (coronary heart disease เรียกชื่อย่อว่า CHD)
ดังนั้นโรคหัวใจขาดเลือด(Ischemicheart disease, IHD) หรือโรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี(Coronary artery disease, CAD) จึงหมายถึง โรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากไขมันและเนื้อเยื่อสะสมอยู่ในผนังของหลอดเลือด มีผลให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตำแหน่งนั้นหนาตัวขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการและอาการแสดงเมื่อหลอดเลือดแดงนี้ตีบร้อยละ50 หรือมากกว่าอาการสำคัญที่พบได้บ่อยเช่น อาการเจ็บเค้นอก ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลมหมดสติหรือรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลันได้
โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคของผู้ใหญ่ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวไปจนถึงในผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปในช่วงวัยเจริญพันธุ์ พบโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ชายได้สูงกว่าในผู้หญิง แต่หลังจากวัยหมดประจำเดือนถาวรแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ใกล้เคียงกัน
2. สาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรืออุดตันซึ่งเป็นผลมาจากผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว ( Atherosclerosis ) และเกิดจากการอักเสบ ( inflammation ) ของผนังหลอดเลือดที่มีสาเหตุจากครามพลาด (Plaque) ที่เกิดจากไขมันดังที่กล่าวมาซึ่งข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เป็นขบวน การสำคัญที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็งตัว ปัจจัยเหล่านี้จะมีผลกระตุ้นให้มีการสะสมของไขมัน ที่ผนังหลอดเลือดทำให้เกิดการตีบของหลอดเลือดในที่สุด และเมื่อมีการตีบแคบตั้งแต่ร้อยละ70 ของความกว้างของหลอดเลือดขึ้นไปก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอเกิดอาการแน่นหน้าอกขึ้นมาและซึ่งเกิดเนื่องจากการมีไขมันไปเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด เรียกว่า “ตะกรันท่อหลอดเลือด” (Artherosclerotic plaque) ซึ่งจะค่อย ๆ พอกหนาตัวขึ้นทีละน้อยจนช่องทางเดินของเลือดตีบแคบลง เลือดจึงไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง
หากปล่อยไว้นาน ๆ ตะกรันท่อหลอดเลือดที่เกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจจะเกิดการฉีกขาดหรือแตกออก เกล็ดเลือดก็จะจับตัวกันจนกลายเป็นลิ่มเลือดและอุดกั้นช่องทางเดินของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่เป็นเวลานานจนเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจึงเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างเฉียบพลันได้ เรียกว่า “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” (Acute myocardial information)
3. อาการของโรคหัวใจขาดเลือด ในระยะแรกเมื่อเริ่มเป็นหรือหลอดเลือดยังตีบไม่มากผู้ป่วยจะยังไม่แสดงอาการแต่หากหลอดเลือดมีการตีบมากขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นอาการนำซึ่งเป็นผลจากการที่เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอซึ่งอาการนี้เรียกว่า angina pectoris ลักษณะของ angina pectoris อาจจำแนกองค์ประกอบได้เป็น 4 ลักษณะอันประกอบไปด้วย
· ตำแหน่ง บริเวณที่เจ็บแน่นมักจะอยู่ตรงกลาง ๆ หรือหน้าอกด้านซ้าย มักบอกตำแหน่งที่ชัดเจนไม่ได้ บางรายอาจมีความรู้สึกเจ็บร้าวไปที่บริเวณลิ้นปี่ ใต้คาง ฟัน ไหล่ หรือแขนได้โดยเฉพาะด้านในของแขน
· ลักษณะของการเจ็บลักษณะมักจะรู้สึกหนักๆ แน่นๆ บีบๆ หรืออาจเหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอก โดยปกติจะค่อยๆเพิ่มความรุนแรงขึ้นจากนั้นจะค่อยๆลดลงในบางครั้งอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกเหนื่อย เหงื่อออก คลื่นไส้ มือเท้าเย็นคล้ายจะเป็น ลม
· ระยะเวลาที่เจ็บ อาการมักเป็นช่วงสั้นๆ มักไม่เกิน 10 นาที โดยมากจะเป็นนานประมาณ 2 – 5นาที
· ปัจจัยกระตุ้นรวมถึงปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้น อาการมักจะกระตุ้นด้วยการออกแรง อารมณ์เครียด โกรธ อากาศเย็น หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก และ อาการมักทุเลาลงเมื่อได้พัก หรือ ได้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ( nitrates )อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจไม่ได้มีลักษณะของ angina pectoris ได้แต่ก็ยังถือว่าเป็นอาการที่เกิดจากการขาดเลือด ( ischemic equivalents ) เช่น เหนื่อยหรือปวดแขนเวลาออกแรง
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆอีกเช่นอาการของโรคหัวใจล้มเหลว (หัวใจวาย) เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว บวมตามหน้าแขน/ขา ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง บางรายอาจมีอาการใจหวิว ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ บางรายมีอาการเหงื่อซึม เป็นลม ตัวเย็น คลื่นไส้ อาเจียน ในผู้สูงอายุนั้น อาจจะไม่พูดถึงอาการเจ็บหน้าอกเลย แต่มีอาการเหนื่อย เหนื่อยง่าย เหนื่อยหอบ และหายใจลำบากร่วมกับอาการแน่นๆ ในหน้าอกเท่านั้น หรือรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรง จนถึงหมดสติ อาการอีกอย่างหนึ่งคือ การตายอย่างปัจจุบันทันด่วน ซึ่งมักจะเกิดใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการ
4. ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด
เพศ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าเพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิงซึ่งอยู่ในระยะยังไม่หมดประจำเดือน แต่ภายหลังจากที่หมดประจำเดือนแล้ว โอกาสเป็นจะเท่ากันในทั้งสองเพศ
อายุุ แผ่นไขมันจะเกิดมากขี้นตามอายุ ดังนั้นอุบัติการของการเกิดโรคนี้จึงมากขึ้นตามอายุ การพบโรคนี้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 35 ปีมีได้บ้างแต่ใม่บ่อย
ไขมันในเลือดสูง พบว่าผลรวมของโคเลสเตอรอลทั้งหมด มีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคหัวใจขาดเลือดทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยศึกษาประชาชนอเมริกัน เป็นเวลา 24 ปี และพบว่าพวกที่มีโคเลสเตอรอล ในเลือดสูงจะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าพวกที่มีไขมันต่ำถึง 5 เท่า โดยปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวพบมากในผู้ที่มีระดับ โคเลสเตอรอล l ในเลือดสูงกว่า 200 มก./ดล. หรือผู้ที่มี ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มก./ดล
ความดันโลหิตสูง ทั้งความดันซิสโตลิคและไดแอสโตลิคมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในภายหลังทั้งสิ้น และยิ่งความดันสูงมาก โอกาสที่จะเกิดโรคนี้ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 160/95 มม.ปรอท
การสูบบุหรี่ ปัจจัยนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมากและยังขึ้นอยู่กับระยะเวลาทีสูบและ จำนวนบุหรี่ที่สูบด้วย โดยพบว่าคนที่สูบบุหรี่จัดจะมีโอกาส เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ได้มากกว่า ผู้ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า และหากมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆร่วมด้วยอีก โอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดยิ่งมากขึ้น
บุคคลที่ทำงานมีความเครียดสูง ผู้มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว ผู้สูงอายุ (ผู้ชายมากกว่า 55 ปี ผู้หญิงมากกว่า 65 ปี) โรคอ้วน (Body mass index หรือ BMI/ดัชนีมวลกายมากกว่า30) โรคไตเรื้อรัง บุคคลที่ขาดการออกกำลังกาย มีโรคเครียด
5. แนวทางการรักษาโรคหัวใจขาดเลือด แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจในเบื้องต้นได้จากการซักประวัติ (เช่น ประวัติการสูบบุหรี่ การออกกำลังกาย โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว) และอาการที่แสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่แล้วปวดร้าวไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร โดยมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย (เช่น มีอายุมาก สูบบุหรี่ เครียด อ้วน มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง)และเมื่อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมดังนี้
· คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ( Electrocardiogram: ECG )นอกจากช่วยวินิจฉัยแล้วบางครั้งอาจพบความผิดปกติอื่นๆ เช่น ผนังหัวใจหนาหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งลักษณะต่างๆ นี้บางครั้งจะบ่งถึงกลไกของการแน่นหน้าอกและช่วยในการเลือกวิธีการตรวจอื่นๆ และบางครั้งยังช่วยประเมินความเสี่ยงด้วย
· การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ( echocardiography )คลื่นเสียงความถี่สูงจะให้ข้อมูลในด้านต่างๆ ของหัวใจ เช่น การบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายความผิดปกติในการบีบตัวของหัวใจบางส่วน ( regional wall motion abnormalities: RWMA )ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากนี้การพบความผิดปกติบางอย่าง อาจเป็นสาเหตุของอาการแน่นหน้าอกที่ไม่ใช่จากโรคหัวใจขาดเลือดได้ ค่าการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายยังเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ช่วยบ่งบอกถึงความเสี่ยงและการพยากรณ์โรคได้อีกด้วย และสามารถใช้ประเมินความกว้างของบริเวณที่ขาดเลือดได้
· Coronary computed tomography angiography (CTA) และ coronary calcium CTA และ coronary calcium เป็นการตรวจที่ผลการตรวจทั้งสองมีค่า negative predictive value สูงมากโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโอกาสจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดในระดับต่ำถึงปานกลาง จึงมีประโยชน์ในการตัดสาเหตุการแน่นหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถ้าผลอ่านไม่พบมีการตีบของ หลอดเลือด หลอดเลือดที่มีการแข็งตัวอาจจะพบมีการเกาะของแคลเซียมที่เส้นเลือดได้ดังนั้น ถ้าผลของ coronary calcium ต่ำโอกาสที่อาการแน่นหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบก็จะน้อย ในทางกลับกัน ถ้าค่าของ coronary calcium สูง โดยเฉพาะมากกว่า 400 ( Agatston score> 400 ) จะมีโอกาสเกิด อุบัติการณ์ต่างๆ ทางหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น
· Cardiac magnetic resonance ( CMR )CMR อาจช่วยประเมินความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจในด้านต่างๆ เช่น ลิ้นหัวใจ ผนังกั้นห้องหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจห้องต่างๆเป็นต้น และ ยังช่วยบอกการท างานของห้องหัวใจ ล่างซ้าย ( LVEF ) ได้เช่นเดียวกัน
· Electrocardiogram exercise testing หรือ exercise stress test ( EST )เป็นการกระตุ้นด้วยการออกก าลังกายและใช้ ECG ประเมินลักษณะขาดเลือด ซึ่งเป็น การตรวจที่สะดวกมีใช้กันโดยทั่วไป การออกกำลังอาจใช้วิธีวิ่งบนสายพาน (treadmill) หรือ ปั่นจักรยานไฟฟ้า ( Electrically braked cycles ) แล้วดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความผิดปกติที่บ่งบอกว่าน่าจะมีหลอดเลือดหัวใจตีบ เช่น มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หน้าซีด ตัวเย็น ความดันโลหิตต่ำขณะทำการทดสอบ เหล่านี้เป็นต้น
ในการเริ่มรักษานั้นนอกจากจะรักษาอาการแล้วผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการแนะนำให้ปรับลดปัจจัยเสี่ยงรวมถึงควบคุมโรคที่จะทำให้โรคหัวใจขาดเลือดเป็นมากขึ้น เช่น การสูบบุหรี่โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โรคอ้วน ขาดการออก กำลังกาย และไขมันในเลือดสูงและสำหรับวิธีการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดนั้นมี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยยา ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาลดการทำงานของหัวใจ เพื่อให้หัวใจใช้ออกซิเจนน้อยลง ยายับยั้งเกร็ดเลือดเกาะตัว กรณีเป็นความดันโลหิตสูงผิดปกติ หรือเบาหวานต้องรักษาร่วมไปด้วย ผู้ที่ระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติก็จะได้รับยาเพื่อลดไขมัน ยาขยายหลอดเลือด อาจทำในรูปยาอมใต้ลิ้น ยาพ่นเข้าในปาก และยาปิดหน้าอก ยาอมใต้ลิ้น และยาพ่นในช่องปาก สามารถออกฤทธิ์ได้ภายใน 2-3 นาที จึงเหมาะที่จะพกไว้ในโอกาสฉุกเฉิน ยาเป็นแผ่นปิดหน้าอก ใช้ปิดหน้าอกและที่อื่นๆ ตามร่างกาย จะออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที หลังปิดบนผิวหนัง จะไม่ออกฤทธิ์ทันทีเช่นยาอมใต้ลิ้นการรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือด ( Coronary Artery Bypass Graft, CABG) มักจะใช้วิธีการผ่าตัดนำเส้นเลือดดำที่ขามาตัดต่อกับเส้นเลือดที่อุดตัน ทำทางเดินของเลือดใหม่ การรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยวิธีต่างๆ เช่น ถ่างขยายด้วยบอลลูน หัวกรอ และอาจจะจำเป็นต้องใส่ขดลวดค้ำไว้ เพื่อมิให้หลอดเลือดตีบซ้ำ
6. การติดต่อของโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบของหลอดเลือดและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งไม่ถือเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
7. การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
· โรคหัวใจขาดเลือดนี้เมื่อเป็นแล้วมักจะเป็นเรื้อรัง ต้องคอยติดต่อรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด และที่สำคัญต้องดูแลตัวเองอย่างจริงจัง ในรายที่เป็นไม่มากถ้ารู้จักดูแลตัวเองได้ถูกต้อง ก็อาจจะหายหรือทุเลาได้
· ลดอาหารที่มีไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำตาล ของหวาน กินผักผลไม้ให้มากๆ
· ควรออกกำลังกายที่ไม่ใช้แรงหักโหม เช่น การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โดยควรเพิ่มทีละน้อย และอย่าให้เหนื่อยเกินไป
· หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบ เช่น อย่าทำงานหักโหมเกินไป อย่ากินข้าวอิ่มเกินไป ระวังอย่าให้ท้องผูก งดดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่ใส่กาเฟอีน ระวังอย่าให้ตื่นเต้นตกใจหรือกระทบกระเทือนจิตใจ อย่าอาบน้ำเย็นหรือถูกอากาศเย็นจัดและควรงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
· พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉินเมื่อมีอาการต่อไปนี้ เจ็บแน่นหน้าอกมาก อาจเจ็บร้าวขึ้นขากรรไกรไปยังหัวไหล่หรือแขนเหนื่อย หายใจขัด ชีพจรเต้นอ่อน เต้นเร็ว เหงื่อออกมาก วิงเวียนจะเป็นลมหยุดหายใจและ/หรือโคม่า
· หากมีโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ควรรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยอย่างจริงจัง
8. การป้องกันตนเองจากโรคหัวใจขาดเลือด
· งดการสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดลดลง และทำลายผนังหลอดเลือดอีกด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้
· งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือคุมปริมาณในการดื่มให้เหมาะสม (ไม่เกินสัปดาห์ละ 14 แก้ว) และไม่ควรดื่มอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
· กำจัดความเครียด เช่น การเจริญสมาธิ การออกกำลังกาย การฝึกโยคะ การรำมวยจีน
· ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
· ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลายและครบ 5 หมู่ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล
· ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (BMI - 18.5-23 กิโลกรัม/ตารางเมตร)
· ควบคุมโรค โรคเบาหวาน ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด ให้ได้อย่างจริงจัง
· ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ในคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการผิดปกติควรไปพบแพทย์ทั่วไปเพื่อตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง
9. สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
· พริก จะมีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ด ช่วยทำให้หลอดเลือดขยาย ละลายลิ่มเลือด ลดการหดตัวของเส้นเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ยับยั้งการดูดซึมไขมันในเส้นเลือด ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปใช้ได้สะดวก
· ดอกคำฝอยน้ำมันจากดอกคำฝอยมีฤทธิ์ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือดสูง บำรุงเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น ช่วยป้องกันเส้นเลือดหัวใจตีบได้
· กระเทียมในกระเทียมนั้นมีสารอัลลิซินที่ช่วยลดไขมันเลวในเลือดและลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุตัวร้ายของโรคหัวใจ กระเทียมจึงช่วยลดโอกาสการอุดตันไขมันในหลอดเลือด อันทำให้เกิดโรคหัวใจได้ นอกจากนี้กระเทียมมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ช่วยลดความดันเลือด รวมทั้งเป็นสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือดด้วยการทำให้เกล็ดเลือดบางลง จึงป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด
· ชาเขียว มีสารที่สามารถป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมันชนิด LDL และเพิ่มไขมัน HDL ซึ่งช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบและช่วยให้เลือดแข็งตัวยากขึ้น
· หอมในหอมจะมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยยังยั้งไม่ให้เกล็ดเลือดไปรวมตัวกันจนแข็งตัวแล้วไปอุดตันตามเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจลงไปได้ และยังมีสารเคอร์ซีทินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระจึงปกป้องเราจากโรคมะเร็งอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. โรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการคงที่. นพ.พงษ์พันธ์ จิตต์ธรรม.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
2. Coronary heart disease risk factors.
http://www.nhlbi.nih.gov/health/dci/diseases/hd/hd_whatare.html[2014,Sept27].
3. รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคหัวใจขาดเลือด.นิยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่159.คอลัมน์แนวยา-แจงโรค.กรกฎาคม2535
4. เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการปวดเค้นหัวใจ Angina Dectoris.หาหมอดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://haamor.com/th
5. แนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลผุ้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดในประเทศไทย ฉบับปรังปรุงปี 2557สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
6. อยากหัวใจแข็งแรงต้องดู!!!9 พืชสมุนไพรพื้นบ้านช่วยบำรุงหัวใจของดีๆที่อยู่ใกล้ตัวคุณรู้แล้วรีบแฃร์ด่วน.LINE TODAY.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://today.line.me/th/PC/article/อยากให้หัวใจแข็งแรงต้องดู+9+พืชสมุนไพรพื้นบ้านช่วยบำรุงหัวใจ+ของดีๆที่อยู่ใกล้ตัวคุณ+รู้แล้วรีบแชร์ด่วน-aD9xzP
7. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่373.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2553