โรคหัด (Measles)
โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็กเล็ก แต่ก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคหัดนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคหัดนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
โรคหัดหรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้และผื่น นอกเหนือจากนี้อาการสำคัญอื่นๆ ที่เป็นลักษณะเด่นของโรคหัด ได้แก่ ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานครั้งแรกโดยแพทย์และนักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed และใน ค.ศ.1954 Panum และคณะ ได้รายงานการระบาดของโรคหัดที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และหลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
โรคหัดนับว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่ง เพราะอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ และแต่ในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนป้องกันโรคหัดตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคหัดเป็นโรคที่พบเกิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน และโอกาสในการเกิดโรคในผู้หญิงและผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัดจากทั่วโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคหัดรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงอายุที่พบผู้ป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 และ 25.85 ของแต่ละปี
สาเหตุของโรคหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมรอบโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ H protein ทำหน้าที่ให้ผนังไวรัสเกาะติดกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความสำคัญในการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆ M protein มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มจึงถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาวะที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันได้แก่อีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อในอากาศและบนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงระยะเวลาสั้นๆ (ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการของโรคหัด ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ.ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจพบตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะจำเพาะที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวปนเทาเล็กๆ บนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนใหญ่พบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามล่างซี่แรก (first molar) มักพบ 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้ คือ ไข้จะค่อยๆ สูงขึ้นจนสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้าและไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆ มักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าถึงร้อยละ 25-50 และอาจสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆ จะดีขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆ จางลงจากหน้าลงมาเท้าและกลายเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในหลอดเลือดฝอยจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆ ส่วนใหญ่มักสังเกตไม่พบเพราะหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่เป็นไข้แบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับเป็นปกติไม่มีไข้ประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกครั้งและมีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกประมาณ 2-3 วันหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบบ่อยมีดังนี้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด พบได้ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยโรคหัด มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆ ถูกทำลายและผลการกดภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ดังนี้
- หูส่วนกลางอักเสบ (otitis media) พบประมาณร้อยละ 10
- ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งเกิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในระยะหลัง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จะเป็น bronchopneumonia
- อุจจาระร่วง (diarrhea) มักเกิดในระยะแรกที่มีไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
- สมองอักเสบ (encephalitis) พบได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งเกิดในช่วง 2-5 วัน หลังจากผื่นออก มีอาการไข้ อาเจียน ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้ากรวดน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
- Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) พบได้ 1 ใน 100000 มักเกิดหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยเป็นค่อยไป มีพฤติกรรมผิดไป สติปัญญาเสื่อมลง มีอาการชัก อาการทางประสาทจะเลวลงเรื่อยถึงโคมา และถึงแก่กรรมในที่สุด ถ้ากรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG พบ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
แนวทางการรักษาโรคหัด
การวินิจฉัย โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นสำคัญ โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ Koplik spots (จุดข้างในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการวินิจฉัย ในกรณีที่อาการและอาการแสดงไม่ชัดเจนอาจพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังต่อไปนี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของแดนติบอดีต่อไวรัสหัด วิธีที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เนื่องจากทำง่าย ราคาถูก มีความไวและความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาแดนติบอดีชนิด IgG 2 ครั้งใน acute และ convalescent phase serum ห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อดูการเพิ่มขึ้นของระดับแดนติบอดี (fourfold rising of antibody) เพื่อยืนยันการวินิจฉัย โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจพบหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดประมาณ 14 วันหลังผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ระยะเวลาที่แนะนำให้ตรวจคือ 7 วันหลังผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังนี้
วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวช่วง 4-30 วันหลังพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง รอจนเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีเครื่องมือพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วนำไปวินิจฉัยต่อไป
- การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสหัด โดยวิธี polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังนี้
ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล และวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายภายในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วนำไปวินิจฉัยต่อไป
การรักษา เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จึงควรให้การรักษาตามอาการ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือรับประทานอาหารได้น้อย ให้ความชื้นและออกซิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพิจารณารักษาด้วยยาต้านจุลชีพที่เหมาะสมเป็นต้น
นอกจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและความพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดได้และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคหัดได้อีกด้วย ดังนั้นแพทย์จึงมักพิจารณาจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้
- ผู้ป่วยอาการรุนแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา หรือในบริเวณที่ยากจนของประเทศที่กำลังพัฒนา
- ผู้ป่วยเด็กอายุ 6-24 เดือน และต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง
- ผู้ป่วยขาดสารอาหาร
- ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ดูดซึมไม่ดี (จึงมักขาดวิตามิน เอ)
- ผู้ป่วยที่พึ่งย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคหัดสูง
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัด
- เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนป้องกันโรคหัดมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัดได้
- สถานที่ที่มีความชื้อที่แสงแดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนพลุกพล่านเป็นจำนวนมากมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคหัด เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็กเป็นต้น
- ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินเอ มักจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัดมากกว่าคนปกติ
- ผู้ที่มีภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศด้อยพัฒนา)
การติดต่อของโรคหัด โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสหัดจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอย ๆ เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่จำเป็นต้องไอหรือจามรดใส่กันตรง ๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดหลังของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคน ๆ นั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอและมีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีจำนวนไวรัสถูกขับออกมามากที่สุด ซึ่งภายในเวลา 7-14 วันหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจ ไข้และผื่นในผู้ป่วยรวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัดหากอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคหัด
- ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- พักผ่อนให้มาก ๆ ไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
- อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารอ่อน ๆ เช่น ซุปไก่ร้อน ๆ โจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ เช่น ชาร้อน น้ำขิง
- พยายามรับประทานอาหารให้ได้ตามปกติ โดยควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ รสไม่จัด ที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดของแสลง เพราะโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรเน้นการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้มาก ๆ เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินเอ มากๆ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง ฯลฯ
- อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น และควรสวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
- ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
- งดการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการไปในที่สาธารณที่มีคนพลุกพล่าน
- กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัว
- ไปพบแพทย์ตามนัด
การป้องกันตนเองจากโรคหัด
- ในช่วงที่มีการระบาดของโรคหัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้ายังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
- ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้ป่วยโดยตรง หากไม่ได้สวมถุงมือป้องกัน
- อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสิ่งของของผู้ป่วย
แต่ทั้งนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันโรคหัดได้ คือ ฉีดวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งสองครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม ป้องกันได้สามโรค คือ โรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/หัด และ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จนกระทั่งมีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 ทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์(live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัดชนิดเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่าทำให้เกิด atypical measles ดังนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตจากเชื้อสายพันธุ์ Edmonston ชนิด B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักและ chick embryo cell แต่พบปัญหาข้างเคียงที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการพัฒนาวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston ชนิดอื่นๆ ด้วยกรรมวิธีการผลิตชนิดเดียวกันแต่ทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงลดลง ต่อมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนรวมชนิด trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) และใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบันสำหรับประเทศไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนป้องกันโรคหัดเช้าไปแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติครั้งแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนและในปี พ.ศ. 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนกระทั่งปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคหัดหรือวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและเปลี่ยนวัคซีนป้องกันโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR) เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาอาการของโรคหัด ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการของโรคหัดมีดังนี้
- สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนเหลือน้ำ 5 ลิตร ยกลงทิ้งไว้รอให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย และต้องระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดหัดผุดขึ้นมาใหม่ ๆ แต่ให้อาบในช่วงที่เม็ดหัดออกเต็มที่แล้ว
- ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้หัดหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น และต้นต่อไส้ 1 กำมือ นำมาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอสมควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
- ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้เหือดหัด
นอกจากนี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พ.ศ.2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาและบาเทาอาการของโรคหัดได้ โดยในสมัยโบราณ อันที่จริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส แต่ต้องการกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด ผู้ป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นภายใน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งวิธีกินและชโลม โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปได้ที่ยาเขียวอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดมีพิษและความร้อนสูงมากจนต้องระบายทางผิวหนัง เป็นผลให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม เช่นที่พบในไข้ออกผื่น หัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
- รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
- ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; 2548. น.523-9.
- รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. หน้า 396-400.
- ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
- Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
- Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
- Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
- Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
- Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
- แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรค การตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
- Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
- Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
- Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
- American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
- Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
- Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
- Krugman S. Further-attenuated measles vaccine: Characteristics and use. Rev Infectious Dis. 1983;5:477-81.
- Bellini WJ, Helfand RF. The challenges and strategies for laboratory diagnosis of measles in an international setting. J Infect Dis. 2003;187:S283.
- Perry RT, Halsey NA. The clinical significance of measles: a review. JID 2004;189:S4-16.