การบูร
การบูร งานวิจัยและสรรพคุณ 28 ข้อ
การบูรคืออะไร
การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ และยังสามารถนำลำต้น, ราก, ใบ มากลั่น หรือ สกัดจนได้ผลึกดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งแต่เดิมนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “กรปูร” ซึ่งแปลว่า “หินปูน” เพราะโบราณเข้าใจว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอม ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” และเป็น “การบูร ” ในปัจจุบัน (ผู้เขียนเข้าใจว่า ชื่อการบูร นี้คงถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจึงนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนลักษณะของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึก หรือ เกล็ดกลมๆ เล็กๆ มันวาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมเย็นฉุน มักจะจับกันเป็นก้อนร่วนๆ แตกง่าย หากทิ้งไว้ในอากาศ จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา
สูตรทางเคมีและสูตรโครงสร้าง
ผลึกการบูร มี ชื่อสามัญว่าCamphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo [2.2.1]heptan-2-one และมีชื่ออื่นๆ ได้แก่ 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ และมีสูตรโครงสร้างดังนี้
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของการบูร
ที่มา : wikipedie
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากเนื้อไม้ของต้นการบูร และการกลั้น หรือ สกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ของต้นการบูร คือ สมุนไพรการบูรมี
ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า การะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), พรมเส็ง (เงี้ยว), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng.
ชื่อวงศ์ Lauraceae
ประโยชน์และสรรพคุณการบูร
- แก้ปวด
- แก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง
- แก้กระตุก
- แก้ปวดข้อ
- แก้ปวดเส้นประสาท
- ช่วยลดคอเลสเตอรอล
- แก้พิษแมลงต่อย
- รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง
- ช่วยขับเหงื่อ
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยขับปัสสาวะ
- แก้ไข้หวัด
- ช่วยขับลม
- บำรุงธาตุ
- บำรุงกำหนัด
- เป็นยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ
- แก้ปวดท้อง
- แก้ท้องร่วง
- ช้วยขับน้ำเหลือง
- แก้เลือดลม
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- ช่วยขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
- ช่วยแก้รอยผิวหนังแตกในช่วงฤดูหนาว
- สามารถช่วยไล่ยุง และแมลง
- ใช้รักษาแผล สมานแผล
- ฆ่าเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
- ช่วยลดกลิ่นอับ
- แก้อาการเมารถ
ขนาดและปริมาณที่ควรใช้
ในการรับประทานการบูร ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดเจนว่าควรบริโภคการบูรเท่าไร ที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายแต่ในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งหมายความว่า มีปริมาณของการบูร 2 มิลลิกรัม ในสารละลาย 1 ลิตร ดังนั้นในการใช้การบูร ทั้งการรับประทาน และการสูดดมความต้องระมัดระวัง และใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ลักษณะทั่วไปของการบูร
การบรู เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน มีการกระจายพันธุ์ไปในแถบ เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มกว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบ ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียว หรือ เป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้น และกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะที่ส่วนที่ของราก และโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการปักชำ
ใบการบูร เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือ รูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 5.5-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างเหนียว ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเทา หรือ นวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบประมาณ 3-8 มิลลิเมตร แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม และตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กกว่าเกล็ดชั้นในตามลำดับ
ดอกการบูร ช่อแบบแยกแขนงออกตามเป็นกระจุกบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง หรือ อมเขียว ก้านดอกสั้นมาก กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ด้านนอกเกลี้ยง ด้านในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 และวงที่ 2 หันหน้าเข้าด้านใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกด้านนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้าง และมีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิดทั้ง 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ด้านในสุด รูปร่างคล้ายหัวลูกศร มีขนแต่ไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบประดับเรียวยาว ร่วงง่าย มีขนอ่อนนุ่ม
ผลการบูร เป็นรูปไข่ หรือ กลม เป็นผลมีเนื้อ ยาว 6-10 มิลลิเมตร สีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผล มีเมล็ด 1 เมล็ด ออกดอกราวเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม
ซึ่งการบูร จากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วไปทั้งต้น มักจะอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีมากที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงขึ้นมา ในใบ และยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย จะมีน้อยกว่าใบแก่ ส่วนการผลิตการบูร จะใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ (ซึ่งอาจไม่สามารถกลั่นการบูรได้เองภายในครัวเรือน เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆ ของลำต้น และรากการบูรที่มีอายุเกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆ แยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย หลังจากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (อาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ในประเทศอเมริกา จะใช้ใบ และยอดอ่อนของต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้จะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แต่สามารถตัดใบ และยอดอ่อนมากลั่นได้ทุกๆ สองเดือน ในปัจจุบันนี้การบูรเกือบทั้งหมดได้จากวิธีการกึ่งสังเคราะห์จากสารตั้งต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน
การบูรยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมต่างๆ เช่น ยาหอมเทพจิตร ยาหอมทิพโอสถ ยาประสะไพล ยาธาตุบรรจบ ยาประสะกานพลู ยามันทธาตุ ยาไฟประลัยกัลป์ ยาประสะเจตพังคี ยาธรณีสัณฑะฆาต ยาธาตุอบเชย หรือ นำมาใช้ทำน้ำมันไพล ลูกประคบ พิมเสน น้ำ เป็นต้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของการบรู
- รากของต้นการบูรมีน้ำมันหอมระเหย 3% ซึ่งประกอบไปด้วย azulene, cadinene, camphene, camphor, carvacrol, cineol, citronellol, citronellic acid, fenochen, limonene, phellandene, pinene, piperiton, piperonylic acid, safrole และ terpineol ส่วนใบของต้นการบูรพบ camphor และ camperol
- เนื้อไม้ของต้นการบูร เมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำ จะได้การบูร และน้ำมันหอมระเหยรวมกันประมาณ 1% ซึ่งประกอบด้วย acetaldehyde, betelphenol, caryophyllen, cineole, eugenol, limonene, linalool, orthodene, p-cymol, และ salvene
- ราก กิ่ง และใบ พบน้ำมันระเหยโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6% โดยในน้ำมันระเหยจะมีสารการบูรอยู่ประมาณ 10-50% และพบว่าต้นการบูรยิ่งมีอายุมากเท่าไหร่ จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยพบสาร ต่างๆ เช่น Azulene, Bisabolone, Cadinene, Camphorene, Carvacrol, Safrol เป็นต้น
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลองของการบูร โดยนำสารสกัดหยาบจากใบการบูร สกัดด้วย 80% methanol แล้วนำสารสกัดที่ได้ มาผ่านการแยกโดยใช้ hexane และ ethyl acetate (EtOAc) จากการทดลองพบว่าสารสกัด hexane และ EtOAc ขนาด 100 μg/ml ของการบูร สามารถยับยั้งการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้แก่ interleukin (IL)-1b, IL-6 และ tumor necrosis factor (TNF-α) จากเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 cells ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นโดย lipopolysaccharide (LPS) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้ในช่วง 20-70% และสามารถยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ได้ 65% สารสกัดหยาบด้วย 80% methanol ส่วนสกัดย่อย hexane และ ethyl acetate สามารถยับยั้งการสร้าง prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในขบวนการอักเสบ ในเซลล์ macrophages ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS หรือ IFN-gamma ได้ 70% สารสกัด hexane และ ethyl acetate ในขนาด 100 μg/ml สามารถยับยั้งการกระตุ้น β1-integrins (CD29) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มของโมเลกุล และเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่จะมารวมตัวกันบริเวณที่เกิดการอักเสบ โดยสามารถยับยั้งได้ 70-80% ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบการบูร มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยเกี่ยวข้องกับการยับยั้ง cytokine, NO และ PGE2
- ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus (เป็นเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร แผล ฝีหนอง และอีกหลายระบบในร่างกาย) ของสาร camphor ที่สกัดได้จากต้นการบูร และเป็นองค์ประกอบหลักของ essential oil จากต้นการบูร ทดสอบด้วยวิธี agar disk diffusion วัดผลด้วยการวัดค่า inhibition zone พบว่า camphor ในขนาดความเข้มข้น 2% สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus ได้ แต่ไม่มีผลยับยั้งเชื้อ E.coli
การศึกษาทางพิษวิทยาของการบรู
การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งมากกว่า 1 ก./กก. เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้สุนัขในขนาด 5 ซีซี/กก. ไม่พบพิษ
มีรายงานว่าการรับประทานการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ และหากรับประทานเกินครั้งละ 2 กรัม จะทำให้หมดสติ และเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และสมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ กล้ามเนื้อสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองทำงานบกพร่อง เกิดภาวะสับสน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดที่ได้รับ ปกติแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อรับประทานเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกเปลี่ยนเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกซิเจนในโมเลกุล เกิดเป็นสาร campherol แล้วจะจับตัวกับ glucuronic acid ในตับ เกิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ และถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่หากได้รับในปริมาณสูงเกินไป ก็จะเกิดการตกค้างจนก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ และไตได้
การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นในอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะทำให้เกิดอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ได้แก่ การระคายเคืองต่อจมูก ตา และลำคอ ขนาดที่ทำให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต และสุขภาพ คือ 200 mg/m3 ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดจากการรับประทาน ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ ชัก หมดสติ หรือ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากภาวะระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ทำให้เกิดอาการพิษที่รุนแรง (ชัก หมดสติ) ในผู้ใหญ่ คือ 34 mg/kg
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น 20% หรือ มากกว่า 30 mg/Kg จะทำให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report ระบุไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่ทราบขนาดที่รับประทาน ปรากฏว่ามีอาการชักแบบกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes และระดับแคลเซียมมีค่าปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าปกติ และมีอาการอาเจียน 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พบสารสีขาว และมีกลิ่นการบูรรุนแรงจากการอาเจียน
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- สตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทานการบูร
- ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกริดสีดวงทวารปัสสาวะแสบขัดเป็นเลือดไม่ควรรับประทาน
- น้ำมันการบูรที่มีสีเหลือง หรือ น้ำตาลห้ามใช้ เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง
- ความเข้มข้นของกลิ่นการบูรที่มีมากอาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะปอดและตับได้
เอกสารอ้างอิง การบูร
- (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).“การะบูน, การบูร”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 60-62.
- Chen W, Vermaak I, Viljoen A. Camphor-A Fumigant during the Black Death and a Coveted Fragrant Wood in Ancient Egypt and Babylon-A Review. Molecules. 2013:18;5434-5454.
- “การบูร Camphor Tree”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. หน้า 82.
- รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง. ยาดมมีอันตราย หรือ ไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. คอลัมน์ Drug Tips. ฉบับที่ 5 กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า 6-7
- Narayan LtCS, Singh CN. Camphor poisoning-An unusual cause of seizure. Medical Journal, Armed Forces India. 2012;68:252-253.
- การบูร. ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpaye&pid=19
- (วิทยา บุญวรพัฒน์). “การบูรต้น”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 72.
- Gupta N, Saxena G.antimicrobial activity of constituents identified in essential oils from mentha and cinnamomum through gc-ms. International Journal of Pharma and Bio Sciences. 2010;1(4):715-720.
- การบูร. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=12
- Manoguerra AS, Erdman AR, Wax PM, Nelson LS, Caravati EM, Cobaugh DJ, et al. Camphor poisoning: an evidence-based practice guideline for out-of-hospital management. Clinical Toxicology. 2006;44:357-370.
- (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เกล็ดการบูร (Camphor)”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 74.
- การบูร. วิกิพีเดียสารานุกรม (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.thwikipedia.org/wiki
- Lee HJ, Hyun E-A, Yoon WJ, Kim BH, Rhee M, Kang HK, et al. In vitro anti-inflammatory and anti-oxidative effects of Cinnamomum camphora extracts. J Ethnopharmacology. 2006;103: 208–216.
- การผลิตการบูรแบบง่าย. กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.mahidol.ac.th/user/reply.asp?id=6825
- นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร.การบูร.สมุนไพร ไม้พื้นบ้าน.เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ.2539.