โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

                                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

1. โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คืออะไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ประเภทหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ชนิดเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่ในการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามเนื้อภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้ในการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง และกล้ามเนื้อซี่โครงที่ใช้ในการหายใจ เกิดการอ่อนแรงจนไม่สามารถทำงานหดตัวได้ตามปกติ หรืออีกนัยหนึ่งคือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากไม่สามารถรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้น้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การเคี้ยว การกลืน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ปัจจุบัน อีกทั้งการรักษาทำได้เพียงเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น
ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบผู้ป่วย มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชายประมาณ 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ประมาณ 10%ของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ทั้งหมด ในผู้ใหญ่ผู้หญิง มักพบโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในผู้ใหญ่ผู้ชาย มักพบโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
2. สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ในการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และจะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามเนื้อแต่ละมัดเพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เนื่องจากร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมาขัดขวางและทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้ว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้เกิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้อเช่นไรก็ตาม เซลล์กล้ามเนื้อก็ไม่ทำงานเพราะถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น มักเกิดขึ้นจากปัญหาการแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีรายละเอียดสาเหตุของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนี้ สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และการส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย แต่ในผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ ทั้งนี้ อวัยวะที่แพทย์เชื่อว่าเป็นตัวก่อให้เกิดการสร้างสารภูมิต้านทานผิดปกติตัวนี้ คือ ต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) เป็นต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) จึงทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดังกล่าว ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะค่อย ๆ เล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ผิดปกติ หรือผู้ป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่มีสาเหตุมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณร้อยละ 10 ในผู้ป่วยสูงอายุ
3. อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คือจะมีอาการเหนื่อย อ่อนล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง และจะอ่อนแรงเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงมากขึ้น แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหยุดพักการออกแรง
นอกจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในทุกมัดของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คือ อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกเปลือกตาและกล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกและเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ และมักพบอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกเช่น
ใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลกระทบ จะทำให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด เช่น ยิ้มได้น้อยลง หรือกลายเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเนื่องจากไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวและการกลืน เกิดจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนแรง ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น พูดเสียงเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวไม่ได้ กลืนลำบาก ไอ สำลักอาหาร บางกรณีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนและขา อาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ มักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรง ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันคอลำบาก ส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ
4. ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) มักมีความสัมพันธ์กับโรคของต่อมไทมัส โดย ประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญเกินปกติ (Thymus hyperplasia) และประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)
นอกจากนี้ มีรายงานว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน อีกทั้งผู้ป่วยอาจพบความผิดปกติและโรคจากภูมิคุ้มกันตัวเองชนิดอื่นๆร่วมด้วยได้ เช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตัวเองชนิดอื่นๆ
5. แนวทางการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue และfluctuation ของกล้ามเนื้อบริเวณตาแขนขารวมทั้งการพูดและกลืนอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง และอาการรุนแรงในช่วงเวลาที่ต่างกันโดยมีอาการมากช่วงบ่ายๆ บางครั้งผู้ป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่พบความผิดปกติ จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ และอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ไม่ยากในผู้ป่วยส่วนใหญ่เพราะมีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนและในรายที่อาการไม่ชัดเจนได้แก่
• การตรวจ ระบบประสาท ได้แก่การให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ ให้ผู้ป่วยมีอาการ
อ่อนแรงได้เช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีภาวะหนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาทั้ง 2 ข้างการให้ผู้ป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้ผู้ป่วยพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆ ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดีขึ้น
• Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดีขึ้นหรือไม่ผู้ป่วย MG จะให้ผลบวก
• Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 และ 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวะหนังตาตกอาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบให้ผลบวกประมาณร้อยละ90 คือผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีแก้ไขคือฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางท่านแนะนำ ให้ฉีดยาatropineก่อนที่จะทำการทดสอบ
• การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับจำนวนของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมากผิดปกติ ส่วนมากจะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
• การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธี คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำ ๆ เพื่อดูการทำงานของมัดกล้ามเนื้อ โดยการติดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่พบอาการอ่อนแรง และส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อตรวจสอบความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)
การรักษา เป้าหมายในการรักษาผู้ป่วย MG ของแพทย์คือการที่ผู้ป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องรับประทานยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการคือ เพิ่มการทำ งานของ neuromuscular
transmission ลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาแตกต่างกัน
• ผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรเริ่มต้นด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors เช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วดูการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากดีขึ้นมากน้อยเพียงใด มีผลแทรกซ้อนจากยาหรือไม่ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มก.ต่อวันและร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนใหญ่จะตอบสนองดีต่อยา mestinonและ prednisoloneเมื่ออาการดีขึ้นจนเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งประมาณ 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆประมาณ 5มก.ทุกๆเดือนจนหยุดยาพร้อมๆ กับ mestinon การลดผลแทรกซ้อนของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในผู้ป่วย MG ให้ผลดีเช่นเดียวกันแต่ในวันที่ผู้ป่วยไม่ได้ยาprednisolone อาจมีอาการของโรคMG ได้หากเกิดกรณีดังกล่าวอาจต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังกล่าวผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ต่อไป
• ผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณอื่นๆ (Generalized MG) การรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิคุ้มกันและการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการปฏิบัติดังนี้
o ผู้ป่วยทุกคนต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่มต้น 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วประเมินผลการตอบสนองว่าดีหรือไม่ โดยการประเมินช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 และ 2 หลังรับประทานยาและประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดต่อไปเพื่อที่จะได้ทราบว่าขนาดของยาและความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมหรือไม่ตามลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของผู้ป่วย เช่น อาการลืมตาลำบาก อาการอ่อนแรง พูดแล้วเสียงแหบควรปรับขนาดยาและความถี่ทุก2-4สัปดาห์ ขนาดยาส่วนใหญ่ประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่มีอายุน้อยกว่า 45ปีทุกรายควรแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยได้ผลดีประมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon หลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในช่วงแรกของการรักษา
o การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้บ่อย ได้แก่ prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังกล่าวมีข้อบ่งชี้ในกรณี
 การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้ผล ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลคือประมาณ 1 ปี
 ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
 ผู้ป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง
6. การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
7. การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
• กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
• ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
• กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
• มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
• เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
• เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
• มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
• รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
• กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
• พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
• รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
8. การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
9. สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น 

 

เอกสารอ้างอิง
1. กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://pobpad.com
2. รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
3. นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
4. สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มีhyperthyroidism. Srinagarind MedJ 1994;9:8-13.
5. DillonFX.Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
6. Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
7. ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.com (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://haamor.com/th
8. Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
9. Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
10. ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
11. Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperative care.Semin Neurol 2004;24:75- 81.
12. Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
13. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
14. Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.